tag:blogger.com,1999:blog-1960690458375494792024-02-20T21:29:20.886-08:00บทความเกี่ยวกับการศึกษามูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.comBlogger14125tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-34893863265632440042010-02-20T20:05:00.000-08:002010-02-22T08:07:23.060-08:00โครงงานที่เกิดจากความสงสัย<div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW-abH2HfFIAgUXY5FPIBXeLxSi1P-yD_ialVbtUvmeYUkZMf5ZX69PDO-XApAjmg2e1t_qDyiAtHG8fYIbcBp7HoUmYHuW-5oy4fFSV05I0E3Q3My7HDhmsFm0cNk8Qjv7cBYfdSZVSo/s1600-h/DSC03814.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441082861277884130" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 138px; CURSOR: hand; HEIGHT: 157px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgW-abH2HfFIAgUXY5FPIBXeLxSi1P-yD_ialVbtUvmeYUkZMf5ZX69PDO-XApAjmg2e1t_qDyiAtHG8fYIbcBp7HoUmYHuW-5oy4fFSV05I0E3Q3My7HDhmsFm0cNk8Qjv7cBYfdSZVSo/s320/DSC03814.jpg" border="0" /></a> มีใครรู้จัก “ต้อยติ่ง” บ้าง? หลายคนอาจจะไม่รู้จักดอกไม้ริมทางสีม่วงที่มีฝักสีน้ำตาลรอวันระเบิดเมื่อสัมผัสน้ำ ขณะที่หลายคนก็อาจจะเคยมีความทรงจำดีๆ กับการเล่นปาระเบิดฝักต้อยติ่ง แต่เด็กกลุ่มหนึ่งไม่เพียงแค่เก็บความสนุกสนานไว้ แต่แปรเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจสร้างผลงานวิทยาศาสตร์เพื่อไขความลับของวัชพืชที่ดูไร้ค่า จนได้รับรางวัลบนเวทีโลกเมื่อเร็วๆ นี้<br />นายครองรัฐ สุวรรณศรี(กอล์ฟ) นายทะนงศักร ชินอรุณชัย(พุ) และนายสุขสันต์ อิทธิปัญญานันท์(เฟริส) 3 เยาวชนคนเก่งที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้นำความสงสัยเกี่ยวกับการแตกของฝักต้อยติ่งที่พบเห็นอยู่ดาษดื่นในโรงเรียนมาแปรเปลี่ยนเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อภาษาไทยง่ายๆ ว่า “การแตกตัวของต้อยติ่ง” และชื่อภาษาอังกฤษเก๋ๆ ว่า “Dehiscence and Dispersal of the Popping Pod Ruelia tuberose L.”<br />โครงงานดังกล่าวเพิ่งคว้ารางวัลแกรนด์อะวอร์ดอันดับ 2 สาขาพฤกษศาสตร์ในการประกวดอินเทล ไอเซฟ 2006 (Intel International Science and Engineering Fair: Intel ISEF 2006) ณ เมืองอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-18 พ.ค.ที่ผ่านมา จากการไขความลับของวัชพืชที่อยู่รอบตัวด้วยศาสตร์ทางฟิสิกส์และชีววิทยาผ่านอุปกรณ์ที่แสนจะเรียบง่าย หากแต่ต้องใช้การออกแบบการทดลองที่ยากกว่า<br />ทั้งนี้สิ่งที่พวกเขาสงสัยคือลักษณะการแตกตัวของฝักต้อยติ่งและการกระจายของเมล็ดนั้นเป็นอย่างไร หลังจากที่พยายามช่วยกันวิเคราะห์ด้วยหลักการทางชีววิทยาแล้ว กอล์ฟซึ่งมีความถนัดทางด้านฟิสิกส์จึงได้พยายามเชื่อมโยงการแก้ปัญหาด้วยฟิสิกส์ โดยใช้ “ฐานวงกลม” รัศมี 4.5 เมตรในการวัดการกระจายของเมล็ดว่ากระเด็นไปได้ไกลเท่าไหร่ ซึ่งจะใช้เชือกขดเป็นวงกลมเป็นระยะๆ ห่างกัน 10 เซนติเมตร<br />“การออกแบบการทดลอง แรกๆ ก็ลองผิดลองถูก หาเปเปอร์ (เอกสารงานวิจัย) แต่หาไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยมีคนทำ เราก็เริ่มจากเอาฝักมาตัดตรงนั้นตรงนี้ ลองหยดน้ำใส่ฝักดู แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมากมาย กลไกในการแตกเป็นอย่างไร กลไกในการกระจายตัวของเมล็ดเป็นอย่างไร มีการแบ่งพลังงานกันอย่างไร ก็พยายามตั้งสมมติฐานซึ่งนำไปสู่การทดลองจริงๆ” ทั้ง 3 ช่วยให้ความเห็น<br />จากการทำโครงงานทำให้พวกเขาเข้าใจธรรมชาติของต้อยติ่งว่าฝักต้อยติ่งจะโตเรื่อยๆ เพื่อรอน้ำ และลักษณะการกระจายพันธุ์ดังกล่าวเป็นการตรวจสภาพความพร้อมของสิ่งแวดล้อมเพื่อดูว่าเหมาะกับที่ต้นอ่อนจะโตได้ เมื่อถึงหน้าฝนหรือช่วงเวลาที่ความชื้นพอเหมาะ ฝักก็จะแตก เป็นเหตุผลว่าทำไมต้อยติ่งถึงเป็นวัชพืชที่กระจายตัวได้ไกล แม้ว่าทางโรงเรียนจะพยายามกำจัดก็ไม่หมด<br />นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวถึงโครงงานด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นโครงงานที่เกิดจากความสงสัยของพวกเขาจริงๆ และทำไปด้วยความอยากรู้ ทั้งนี้โครงงานจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยไขความสงสัยให้กับเขาได้ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะทำโครงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากแบคทีเรียแต่ไม่ใช่โครงงานที่สนใจจริงๆ และผลจากการทำโครงงานนี้ยังทำให้ทางโรงเรียนเห็นความสำคัญของวัชพืชที่ดูไร้ค่า โดยเก็บเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียนด้วย<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=42&code=y"><span style="color:#000000;">http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=42&code=y</span></a><br /><br /><span style="color:#000000;"><br /></span><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายฮีซามดีน หะยีอาหวัง</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-54007830036231544192010-02-20T20:04:00.002-08:002010-02-22T08:01:16.486-08:00การเลือกของเล่นเด็ก เสริมพัฒนาการและการเรียนรู้<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441086976736681026" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 145px; CURSOR: hand; HEIGHT: 160px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpiXCo5jlxNU50UhwsPlX2RGTypMt82k2oo0dlye2eUhpvAAQ22y6RRMxmhk5wd726zaV1iiiEDJqZsio79q6xgb-zdA09w11lC2Ue9vRC4WRL4AvO2MHpKr3U0tAClP1ogxvSbjMGQ_4/s320/DSC03813.JPG" border="0" />การเลือกของเล่นให้เด็กเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และผลต่อพัฒนาการที่จะตามมา ในขณะที่ผู้ผลิตของเล่นต่างแข่งขันผลิตออกมาขายจำนวนมาก บางครั้งผู้บริโภคไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ใดที่เหมาะกับเด็ก หรือแม้แต่คำอธิบายจากตัวสินค้าก็ไม่ละเอียดพอที่จะเข้าใจ ทำให้บางคนซื้อของเล่น ให้ลูกเพราะคิดว่ามันน่าจะดีเท่านั้น<br />รศ.ดร.จิตตินันท์ เดชะคุปต์ สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายว่า ช่วงชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปฐมวัย นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ถือได้ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตและพัฒนาการทุกๆ ด้านของมนุษย์ ทั้งนี้ การเล่นและของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย นับเป็นหัวใจสำคัญของการเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และพัฒนาการที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และความต้องการของเด็กวัยนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ควรมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความสำคัญของการเล่นและของเล่นที่เหมาะสม<br />"เด็กจะค่อยๆซึมซับและเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านปฏิสัมพันธ์กับคนเล่นหรือของเล่น โดยเฉพาะเมื่อเด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองและมีผู้คอยชี้แนะให้ข้อมูลหรือสอนให้รู้จักคำบอกของชื่อเรียกสิ่งต่างๆรอบตัว หรือความหมายของสิ่งเหล่านั้นทีละเล็กละน้อย จากเรื่องที่ง่ายๆไปสู่เรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น ตามความสามารถของวัย"<br />การเลือกของเล่นที่ดีเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ตามศักยภาพของเด็ก จึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ควรคำนึงถึง เนื่องจากของเล่นเป็นสื่อกลางช่วยเปิดโลกภายในของเด็กออกสู่ภายนอก ทำให้เด็กได้ค้นพบความสามารถหรือความถนัดของตนเองด้วยตนเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กใฝ่เรียนใฝ่รู้ มีความกระตือรือร้น ทว่าการเล่นของเล่นจะปราศจากความหมาย หากเด็กไม่ได้รับความสนใจเอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดในการดูแลเรื่องความปลอดภัย ตลอดจนการชี้แนะหรือเล่นร่วมกับเด็กเมื่อเด็กต้องการ<br />รศ.ดร.จิตตินันท์ แนะนำหลักการเลือกของเล่นสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างง่ายๆ 4 ข้อคือ<br />1. ต้องดูที่ความปลอดภัยในการเล่นของเล่นอาจทำด้วยไม้ ผ้า พลาสติก หรือโลหะที่ไม่มีอันตรายเกี่ยวกับผิวสัมผัสที่แหลมคมหรือมีชิ้นส่วนที่หลุดหรือแตกหักง่าย ตลอดจนทำด้วยวัสดุที่ไม่มีพิษมีภัยต่อเด็ก<br />2.ประโยชน์ในการเล่น ของเล่นที่ดีควรช่วยเร้าความสนใจของเด็กให้อยากรู้อยากเห็น มีสีสันสวยงามสะดุดตาเด็ก มีการออกแบบที่ส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการ ช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว<br />3.ประสิทธิภาพในการใช้เล่น ควรมีความยากง่ายเหมาะกับระดับอายุและความสามารถตามพัฒนาการของเด็ก ของเล่นที่ยากเกินไปจะบั่นทอนความสนใจในการเล่นของเด็กและทำให้เด็กรู้สึกท้อถอยได้ง่าย ส่วนของเล่นที่ง่ายเกินไปก็ทำให้เด็กเบื่อไม่อยากเล่นได้ และ<br />4.ความประหยัดทรัพยากร ของเล่นที่ดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=41&code=y"><span style="color:#000000;">http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=41&code=y</span></a><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นางสาวฟาตีเม๊าะ เกะมาซอ</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-32432447783983534242010-02-20T20:04:00.001-08:002010-02-22T07:56:14.279-08:00เศรษฐกิจพอ เพียงกับการศึกษา<div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijTT2ZRCAxiQJFw92NrzijK1KGIaQiHXBL6KxuexLRm_jALfKAs_rkLfgrJkl_JoDzdU0klf1FDSa0a3n1yc9ca5HD0tFc6DVm90TryOyZd5voc7_80raY6WS9g4n_MC48CLiF5onRx_k/s1600-h/DSC038171.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441089520797687778" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 141px; CURSOR: hand; HEIGHT: 148px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijTT2ZRCAxiQJFw92NrzijK1KGIaQiHXBL6KxuexLRm_jALfKAs_rkLfgrJkl_JoDzdU0klf1FDSa0a3n1yc9ca5HD0tFc6DVm90TryOyZd5voc7_80raY6WS9g4n_MC48CLiF5onRx_k/s320/DSC038171.jpg" border="0" /></a>“เศรษฐกิจพอเพียง” สมดุล แห่งชีวิต<br />ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็น ปรัชญาที่พระราชทานให้คนไทยใช้เป็นหลักคิดและหลัก ปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดสมดุลในชีวิต ในครอบครัว ในโรงเรียน ในประเทศ โดยตั้งสมมุติ-ฐาน ที่ว่าทุกสิ่งอนิจจัง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ทั้งปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงมาจากนอกประเทศ กับในประเทศ นอกโรงเรียนกับในโรงเรียน นอกครอบครัวกับในครอบครัวแล้วทรงชี้ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบ 4 ด้านด้วยกัน คือ ด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และทางวัฒนธรรม<br />“คุณธรรม” รากเศรษฐกิจพอเพียง<br />ภูมิคุ้มกันในตัวเราที่ดีก็คือ Empowerment คือ ทำให้เข้มแข็ง เข้มแข็งทางการเงิน ก็คือว่า ครอบครัวต้องมีเงินออม ไม่ใช่มีหนี้ ถ้ามีหนี้ก็คือ เป็นเรื่องของ ความอ่อนแอ แต่ถ้ามีเงินออมมากก็เป็นเรื่องของความเข้มแข็ง โดยมีเงื่อนไข สำคัญคือเรื่องคุณธรรม เพราะการที่คนขี้โกงเอาเงินไปใช้แล้วก็ประสบความสุข ความร่ำรวย ซึ่งผิดกับหลักการดังกล่าว เพราะผิดเงื่อนไข คือ เรื่องคุณธรรม โรงเรียนไหนจะเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ จะต้องไปสร้างคุณธรรมใน โรงเรียนก่อน ตั้งแต่ผู้อำนวยการลงไปถึงภารโรง เด็กทุกคน ครูทุกคน ต้องมี คุณธรรม<br />3 องค์ประกอบ บันไดสู่เป้าหมาย<br />องค์ประกอบของความ พอเพียงมี 3 องค์ประกอบ คือ<br />1. ความพอประมาณไม่สุดโต่ง จะลง ทุน จะซื้อของ ต้องพอประมาณ<br />2. ต้องมีเหตุผลอธิบายได้<br />3. ต้องสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยน แปลงทั้งภายนอกภายใน<br />3 เงื่อนไขหัวใจหลัก<br />พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง มีพระราชดำรัสถึงแนวทางการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ได้ผลดีว่ามี 3 เงื่อนไข คือ<br />1. หลักวิชา โดย พระองค์ท่านจะทำอะไร ทรงอาศัยหลักวิชาเสมอ ไม่ได้ทำตามอารมณ์ ไม่ได้ทำตามกระแส ไม่ได้ตัดสินใจตามผลประโยชน์ของใคร แต่ใช้หลักวิชาเพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่ทุกคน<br />2. เงื่อนไข คุณธรรม ต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์ สุจริต<br />3. เงื่อนไขในการดำเนินชีวิต ต้องรอบรู้ ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน เรื่อง ความเพียร<br /><br />การพิจารณาที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นๆ ต้องเกิดฉันทะในนั้น พอรู้หมด รู้วิธีแก้ปัญหาแล้วท้อ ฝืนทำก็ไม่ได้งาน แต่เมื่อรู้ปัญหาแล้ว ต้องสร้าง ฉันทะ สามัคคี-หลังจากนั้น แล้วพอจะลงมือทำ การลงมือปฏิบัตินั้น ควรคำนึงเสมอว่า เราจะทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องทำร่วมกันเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลัง จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ ด้วยดี.<br /><br />แหล่งที่มา <a href="http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=40&code=y"><font color="#000000">http://www.eschool.su.ac.th/admin/articleadm.php?no=40&code=y</font></a><br /><br /><font color="#000000">จัดทำโดย นายมูฮำหมัด อุมาร์</font></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-5153179170104665482010-02-20T19:51:00.001-08:002010-02-22T07:56:14.280-08:00บทบาทของครูในการใช้เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้<div align="justify">บทบาทของครูในการใช้เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ได้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบสังคม วัฒนธรรม และกระบวนการเรียนการสอนตามยุคสมัยมาโดยตลอด กล่าวคือ 1) ในยุคสังคมบรรพกาลที่สังคมอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย การสื่อสารและคมนาคมยังมีข้อจำกัด การศึกษาเป็นการเลียนแบบ ทำตามและจดจำจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ บทบาทของครูจึงเป็นผู้จดจำและบอกเล่าให้ผู้เรียนท่องบ่น จดจำและทำตามที่ครูบอก เทคนิควิธีและสื่อต่างๆ จึงเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนจดจำและทำตามได้ง่าย 2) ในยุคสังคมอุตสาหกรรม และ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ระบบสังคมเป็นสังคมกระจุก โดยมากเกิดขึ้นในเมืองขนาดใหญ่ระดับนครและมหานคร วิทยาการต่างๆ มีมากมายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครูไม่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระโดยตรงจากความจำและประสบการณ์ของตนได้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนไปเป็นนักออกแบบระบบการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อโสตทัศน์เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระแทนการบอกเล่าและเป็นผู้ให้เนื้อหาสาระด้วยตนเอง และ 3) ยุคสังคมข้อมูลข่าวสารอย่างในปัจจุบันและการเรียนการสอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเก่ง และแก้ไขปัญหาได้ ตลอดจนปลูกฝังให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี คนมีความสุข และรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต ครูจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทไปเป็นนักจัดและออกแบบระบบการเรียนการสอน นักจัดการสารสนเทศ นักออกแบบและจัดการแหล่งสื่อการศึกษา นักออกแบบและจัดการสภาพแวดล้อมทางการศึกษา และเป็นนักแนะแนวและอำนวยความสะดวกการเรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้<br />1. ครูในฐานะนักจัดระบบและออกแบบระบบการเรียนการสอน<br />การจัดระบบและการออกแบบระบบการเรียนการสอน เป็นขอบข่ายงานโดยตรงของนักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และเป็นบทบาทของครูที่ต้องการใช้เทคโนโลยีการศึกษาในการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการ หรือผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ทั้งนี้เพราะลักษณะของกิจกรรม สื่อ และกระบวนการในรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในขณะนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีการจัดระบบ หรือออกแบบระบบการเรียนการสอนให้เหมาะสม การเรียนการสอนนั้นๆ ก็จะประสบกับความล้มเหลวได้ง่าย ครูจึงจำเป็นต้องมีความสามารถและความชำนาญในการวิเคราะห์ระบบการเรียนการสอนเดิม การสังเคราะห์ระบบ การสร้างแบบจำลองระบบเพื่อการสื่อสารและการตรวจสอบ และการทดสอบระบบในเบื้องต้นก่อนนำไปใช้<br />2. ครูในฐานะนักจัดการสารสนเทศ<br />สารสนเทศในยุคสังคมข้อมูลข่าวสารมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน สื่อสารผ่านเครือข่ายและโทรคมนาคม แหล่งสื่อเครือข่ายกระจายสารโลก เครือข่ายอินเทอร์เนตและเวบไซต์ ล้วนแต่เป็นแหล่งสารสนเทศมากมายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าครูไม่รู้จักแหล่งสารสนเทศเหล่านี้ หรือไม่รู้จักเลือกสรร จัดเก็บ และเตรียมเชื่อมโยงในการใช้ที่เหมาะสมแล้ว การเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ด้วยตนเองก็จะประสบกับความล้มเหลว เพราะผู้เรียนจะถูกท่วมทับด้วยสารสนเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือสารสนเทศที่ดึงผู้เรียนออกนอกเส้นทางการเรียน กลายเป็นสื่อนำผู้เรียนออกนอกบทเรียนไป<br />3. ครูในฐานะนักออกแบบและจัดการแหล่งสื่อการศึกษา<br />การเรียนการสอนในยุคสังคมข้อมูลข่าวสารนี้ ครูไม่สามารถจะใช้สื่อโสตทัศน์ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งด้านปริมาณและคุณภาพมาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ได้เพราะไม่สามารถตอบสนองต่อความคิด ความต้องการ และการสร้างสรรค์ของผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน ครูจำเป็นต้องรู้แหล่งสื่อการศึกษา เช่น แหล่งสื่อชุมชนทุกรูปแบบ แหล่งสื่อฐานข้อมูล แหล่งสื่อเวบไซต์ และแหล่งสื่อฐานความรู้ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว ครูจะต้องสามารถจัดระบบการใช้ การสื่อสาร และการเชื่อมโยงกับแหล่งสื่อเหล่านั้น และสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย<br />4. ครูในฐานะนักออกแบบและจัดการสภาพแวดล้อมทางการศึกษา<br />สภาพแวดล้อมทางการศึกษาเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญมากสำหรับการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการ เพราะสภาพแวดล้อม ทางการศึกษาจะทำหน้าที่เป็นสื่อนำเข้าสู่บทเรียน สื่อจุดประกายความคิดของผู้เรียน และเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดทิศทางและขอบข่ายการเรียนของผู้เรียน ครูจำเป็นจะต้องฝึกฝนตนเองให้มีความรู้ ความสามารถในการออกแบบและจัดการสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางสังคม และสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของผู้เรียน<br />5. ครูในฐานะนักแนะแนวและอำนวยความสะดวกการเรียน<br />การแนะแนวการเรียนเป็นบทบาทสำคัญสำหรับการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการ เพราะถ้าครูแสดงบทบาทเป็นผู้สอนเมื่อใด การที่จะมุ่งหวังให้ผู้เรียนคิดเป็น แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองก็จะไม่บรรลุเป้าหมายได้ ผู้เรียนก็จะเป็นได้แต่เพียงนักจำและผู้ทำตามคำบอกของครูเท่านั้น การเป็นนักแนะแนวที่มีความสามารถย่อมสามารถวางแผนการเรียนได้ดี สามารถกำหนดขอบเขต และทิศทางการเรียนแต่ละบทเรียนได้แม่นยำ ซึ่งจะเป็นผลให้ครูสามารถจัดการและเตรียมสื่อและเครื่องอำนวยความสะดวกในการเรียนได้เหมาะสมกับบทเรียนด้วย<br />การใช้เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ครูจะต้องมีบทบาทในฐานะนักจัดระบบและออกแบบระบบการเรียนการสอน ในฐานะนักจัดการสารสนเทศ ในฐานะนักออกแบบและจัดการแหล่งสื่อการศึกษา ในฐานะนักออกแบบและจัดการสภาพแวดล้อมทางการศึกษา และในฐานะนักแนะแนวและอำนวยความสะดวกการเรียน<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://service.acn.ac.th/km/?p=201"><span style="color:#000000;">http://service.acn.ac.th/km/?p=201</span></a><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายซาห์บุดดีน หะยีอาหวัง</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-9443648746260931352010-02-20T19:45:00.002-08:002010-02-22T07:56:14.297-08:00“ทำอย่างไรให้คนเก่งกลับมาเรียนครู” (มิสปนัดดา)<div align="justify">ทำอย่างไรให้คนเก่งกลับมาเรียนครูเชื่อว่าวิธีการที่จะทำให้คนเก่งกลับมาเรียนครูนั้นมีแน่และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะใช้งบประมาณไม่มากเหมือนกับการเพิ่มเงินเดือน/สวัสดิการให้กับครู ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลอยากให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาว่าทำไมคนเก่งจึงนิยมสอบเข้านายร้อยไม่ว่าจะเป็นนายร้อยทหารหรือนายร้อยตำรวจ จะว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่สบาย น่าสนุกคำตอบก็คงไม่ใช่ ทั้งนี้ เพราะนักเรียนนายร้อยขณะเรียนต้องลำบากตรากตรำ ต้องฝึกอย่างหนักกลางแดด กลางฝน ขณะออกไปทำงานก็ต้องเสี่ยงภัยอันตรายทั้งต่อร่างกายและชีวิต อาชีพนี้มันน่าสนุกตรงไหนอาชีพครูเป็นอาชีพที่น่าจะสนุกกว่าอาชีพทหาร-ตำรวจ เพราะแต่ละวันจะพบกับเด็กๆ ซึ่งมีความน่ารักอยู่ในตัว แล้วทำไมคนเก่งจึงนิยมเลือกที่จะเข้าเรียนนายร้อยทหาร-ตำรวจ แทนที่จะเลือกเรียนอาชีพครูคำตอบง่ายๆ ก็คือเหตุที่คนเก่งนิยมเรียนนายร้อยทหาร-ตำรวจก็เพราะจบแล้วมีงานทำร้อยเปอร์เซ็นต์ขณะเรียนก็มีเงินเดือน มีหอพักให้พักฟรี แถมอายุราชการก็ยังเริ่มนับให้ตั้งแต่เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารหากอาชีพครูทำได้เช่นเดียวกันนี้ คือ ต่อไปถ้าใครเรียนครูแล้วมีหลักประกันว่าจบแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับนักเรียนนายร้อยขณะเรียนก็มีเงินเดือนให้มีหอพักให้และนับอายุราชการให้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนครู แล้วอย่างนี้คนเก่งจะไม่หันกลับมาเรียนครูกันอีกเหรอ สิ่งที่น่ากลัวต่อไปจะไม่ใช่คนเก่งไม่มาเรียนครู แต่จะมีคนแห่มาเรียนครูจำนวนมาก ซึ่งในที่นี่จะรวมทั้งคนเก่งๆด้วย ดังนั้น จึงต้องหาวิธีจำกัดจำนวนคนที่จะเรียนครูว่าแต่ละปีจะสามารถรับครูได้เท่าไร ซึ่งคงต้องมีการวางแผนล่วงหน้าว่าในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าประเทศมีความต้องการครูเท่าไร สาขาอะไรบ้าง จะต้องทำการศึกษา/วิจัยว่าในอนาคต ( 5 ปีหรือ 10 ปี) จะมีครูเกษียณปีละกี่คน จะมีนโยบายให้ครู early retireอีกไหม ถ้ามีจะให้มีปีละเท่าไร แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาวางแผนกำหนดจำนวนนักศึกษาครูที่จะสามารถรับได้ในแต่ละปี เมื่อได้จำนวนนักศึกษาครูที่จะรับในแต่ละปีแล้วก็ให้จัดสรรโควต้าให้แต่ละมหาวิทยาลัยที่มีการเปิดสอนทางด้านศึกษาศาสตร์/คุรุศาสตร์ โดยนักศึกษาที่เข้าเรียนตามโควต้าที่กระทรวงจัดให้ในแต่ละครั้งนี้จะถือว่าเป็นนักเรียนทุน โดยนักเรียนทุนเหล่านี้ควรได้รับสิทธิไม่น้อยกว่าที่นักเรียนนายร้อยได้รับ นั่นคือจะต้องจัดหอพักให้พักฟรี มีเงินทุนให้ขณะเรียน จบแล้วได้งานร้อยเปอร์เซ็นต์ อายุราชการนับให้ตั้งแต่เข้าเรียนครู งบประมาณในส่วนนี้ในแต่ละปีจะใช้ไม่มมากเมื่อเทียบกับงบประมาณที่จะไปเพิ่มเงินเดือน/สวัสดิการให้กับครูทั้งประเทศ ส่วนการที่มหาวิทยาลัยใดจะรับนักศึกษาวิชาครูเกินโควตาที่กระทรวงกำหนด มหาวิทยาลัยนั้นต้องแจ้งให้นักศึกษากลุ่มนั้นทราบล่วงหน้าว่าพวกเขาจะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว แต่เมื่อจบแล้วพวกเขาสามารถประกอบอาชีพครูในสถานศึกษาเอกชนหรืออาจได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการได้หากรัฐมีอัตราครูที่ต้องการรับเพิ่มเติม<br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา <a href="http://service.acn.ac.th/km/?p=265"><span style="color:#000000;">http://service.acn.ac.th/km/?p=265</span></a></span><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นางสาวกุสุมา หะยีมะลี</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-39699313703758709292010-02-20T19:45:00.001-08:002010-02-22T07:56:14.301-08:00คติธรรมจากดินสอ<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441090811142782754" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 136px; CURSOR: hand; HEIGHT: 162px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYB8HXqQlFF8u3FLG7LhG9pywAxS1Xiq1g1SWXdtxIKj0_Md-XqM0ETezYGEovATbO2Hy2fjeJ9EspNql8sfgAXg3Vc_T65oVa3LQgnbCQhqAcX0g8jL5ohpG4Ds32qEZLurs88oYXzlk/s320/DSC038161.jpg" border="0" />เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีโอกาสไปเป็นกรรมการคุมสอบ O – NET ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 ในต่างโรงเรียนภายในจังหวัด และมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศการสอบที่ต้องใช้ดินสออีกครั้งหนึ่ง ได้นั่งคิดว่ามีใครบ้างไหมที่ใช้ดินสอจนหมดแท่ง อาจเพราะดินสอเป็นสิ่งของราคาไม่แพง ผู้คนจึงไม่สนใจและใช้กันทิ้งขว้าง บ่อยครั้งที่เห็นดินสอนับโหลถูกเจ้าของทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย ไม่เหมือนปากกาด้ามแพงที่เสียบไว้ใกล้หัวใจ หรือว่าราคามักมาพร้อมกับคุณค่าเสมอ<br />ถ้ามองให้ดี ดินสอมีคุณค่าที่ปากกาไม่มีอยู่ประการสำคัญ สิ่งนั้นคือโอกาสในการแก้ตัว หากใช้ปากกาขีดเขียนสิ่งใดแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้น สิ่งที่จะต้องทำต่อมาคือการขีดฆ่าปลิดชีพตัวหนังสือที่ทำผิด หรือไม่ก็เอาน้ำยาลบคำผิดสีขาว ๆ ป้ายทับ อาจเป็นการหมก หรือซุกซ่อนความผิดเอาไว้ก็ได้ แต่ถึงจะลบหรือซ่อนอย่างไรก็จะมีรอยให้ได้เห็นอยู่ดี หรืออาจต้องตัดสินใจขยำกระดาษแผ่นนั้น โยนใส่ถังทำให้กระดาษกลายเป็นขยะไปโดยง่าย <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYB8HXqQlFF8u3FLG7LhG9pywAxS1Xiq1g1SWXdtxIKj0_Md-XqM0ETezYGEovATbO2Hy2fjeJ9EspNql8sfgAXg3Vc_T65oVa3LQgnbCQhqAcX0g8jL5ohpG4Ds32qEZLurs88oYXzlk/s1600-h/DSC038161.jpg"></a><br />แต่ถ้าขีดเขียนด้วยดินสอกระดาษจะไม่ถูกลงโทษสถานหนักถึงเพียงนั้น หากพอเราลบข้อความที่ผิดนั้นด้วยยางลบ เพราะดินสอให้โอกาสแก้ตัวเสมอ ดินสอยังเปิดโอกาสให้เราทดลองทำในสิ่งที่อยากทำ เขียนในสิ่งที่อยากเขียน วาดในสิ่งที่อยากวาด อาจเริ่มต้นจากการ “ ร่าง ” ขึ้นมาก่อนที่จะลงเส้นหนัก เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้กระดาษช้ำเวลาลบเส้นดินสอทิ้ง<br />ดินสอจึงเป็นอุปกรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น เด็กตัวเล็ก ๆ จึงได้ใช้ดินสอก่อนที่จะรู้จักกับปากกา จึงไม่แปลกที่จิตรกรทั้งหลายรักที่จะใช้ดินสอมากกว่าปากกา ในการเริ่มต้นวาดรูป ดินสอจึงมีวิญญาณของศิลปะซ่อนตัวอยู่ในตัว มีความยืดหยุ่น มีวิญญาณแห่งการทดลอง สร้างสรรค์ อิสระ ใจกว้าง และที่สำคัญ ดินสอมีชีวิต เหมือนกับไส้ดินสอที่หดสั้นลง เหมือนแท่งไม้ที่ยิ่งเหลาก็ยิ่งหด ภาพหรือตัวหนังสือที่เกิดขึ้นจากดินสอก็ไม่จีรังยั่งยืน พร้อมที่จะเลือนหายไปตามกาลเวลา หากใครสักคนจรดดินสอลากเส้นวาดภาพหรือเขียนถ้อยคำไว้บนกระดาษสักแผ่น เมื่อวันคืนผ่านไปกระดาษแผ่นนั้นจะกลับกลายไปเป็นกระดาษที่คล้ายกับว่าไม่เคยมีใครขีดเขียนอะไรลงไปบนมันมาก่อน กลับคืนสู่กระดาษเปล่าอีกครั้ง เหลือไว้เพียงรอยเลือน ๆ ของเส้นดินสอที่เคยลากไว้<br />หากใช้ดินสอบ่อย ๆ เราจะค้นพบปรัชญาที่ติดมากับแท่งดินสออีกหนึ่งอย่างคือ อยากให้ดินสอแหลมได้นั้นมี 2 วิธี หนึ่ง คือการเหลา ซึ่งการเหลาเปรียบได้กับการหาวิชาความรู้ใหม่ ๆ พัฒนาสมองให้แหลมคม สองคือการใช้ดินสอเหลาตัวเอง ด้วยวิธีการหมุนรอบตัวเอง หากใช้บ่อย ๆ หัวสมองก็จะแหลมพร้อมใช้งานอยู่เสมอ<br />ข้อคิดจากดินสอเตือนเราเสมอว่าให้หมั่นเหลามันให้แหลมอยู่เสมอ และอย่าเผลอไผลใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะยิ่งใช้มากดินสอก็ยิ่งสั้นลง และสั้นลงนะคะ<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://service.acn.ac.th/km/?p=266"><span style="color:#000000;">http://service.acn.ac.th/km/?p=266</span></a><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายพิทยา ตอหอ</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-80628246372700129732010-02-20T19:41:00.001-08:002010-02-21T01:11:01.745-08:00ชี้ครูวิทย์ฯ ต้องสอนแบบสืบสวน<div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfnezmlvOHClJkgZcg3KpvaWS9KhwfMtwQBA9cHTjvFr-KaMRTejDU8UOnsgY68KlU4NvlE1JC3gkekSEtCCxbri4HoIXKCjtS8Bxd5nmfAxFaIO4WmjtoqCqIfHvprlpwYly1aKa4j3U/s1600-h/Clip.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5440558212531889234" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 171px; CURSOR: hand; HEIGHT: 167px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfnezmlvOHClJkgZcg3KpvaWS9KhwfMtwQBA9cHTjvFr-KaMRTejDU8UOnsgY68KlU4NvlE1JC3gkekSEtCCxbri4HoIXKCjtS8Bxd5nmfAxFaIO4WmjtoqCqIfHvprlpwYly1aKa4j3U/s320/Clip.jpg" border="0" /></a> ผศ.สุนทร โสตถิพันธุ์ ครูวิทยาศาสตร์ดีเด่นระดับชั้นมัธยมศึกษา สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา ในฐานะตัวแทนครูวิทยาศาสตร์ดีเด่นทั่วประเทศ เปิดเผยว่า ระบบการศึกษาแบบเก่าไม่เหมาะกับการเรียนของเด็กไทยปัจจุบัน ควรปรับหลักสูตรและเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียน จากเดิมที่เน้นเนื้อหาในแบบเรียนมาเป็นการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริงตามความหมายของวิทยาศาสตร์คือ กระบวนการค้นพบความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยอิงความน่าเชื่อถือ มีกฎเกณฑ์กล่าวอ้าง ใช้ปัญญาสร้างโอกาสให้รู้จักการอ่านคิดตามและลงมือปฏิบัติ ฝึกให้เด็กสังเกตตั้งสมมติฐานและทดลองด้วยตนเอง สอนเสริมเรื่องรอบตัวเพิ่มเติมจากวิชาปกติเพื่อส่งเสริมการคิด โดยอาจสอนแบบสืบสวนเพื่อให้เด็กสนุกกับการเรียนการหาคำตอบจากโจทย์ ส่วนรัฐบาลควรสนับสนุนการพัฒนาความรู้บุคลากรและเครื่องมือประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้เด็กได้พัฒนาขีดความสามารถสู่การแข่งขันระดับโลกได้<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา <a href="http://www.moe.go.th/main2/article/article_newspaper/teacher271047.htm"><span style="color:#000000;">http://www.moe.go.th/main2/article/article_newspaper/teacher271047.htm</span></a></span><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นางสาวนิวรรดา เดซี</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-29711958324821848142010-02-20T19:38:00.001-08:002010-02-22T07:56:14.308-08:00สอนทักษะการอ่านหนังสือแนวใหม่<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441091509145143170" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 169px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsZbDpo2exjQdPwZyEnGlXGoJKq5vKeK_5-Q1f7NkRIa8u7QW1X1XVob6rQaYbEgESGTRPXuaAzDjpsrdV5tRHgBgiMabBuI_3_Bvh7aEfxC2SO7OJ5g487m1QneeNXHxu-CY5gdXlfyE/s320/DSC038111.jpg" border="0" />ในอดีตครูผู้สอนที่ต้องการฝึกให้ผู้เรียนรักษาสิ่งของ มักจะกำชับผู้เรียนเสมอว่า “ ห้ามขีดเขียนข้อความใดๆ ลงในหนังสือ ” เพราะจะทำให้หนังสือเลอะเทอะ หรือ “ ถ้าต้องการเน้นข้อความสำคัญ อนุญาตให้ขีดเส้นใต้เพียงอย่างเดียว ” ความคิดเช่นนี้ทำให้ผู้เรียนพลาดโอกาสในการใช้หนังสือเพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ ความเข้าใจ ความจำ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และความคิดสร้างสรรค์<br />เดฟ เอลลิส ( Dave Ellis ) ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเรียนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียน “ เรียนเก่ง ” กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “ มีเหตุผลเดียวที่คนเราไม่เขียนอะไรลงไปในหนังสือ เพราะเรากลัวว่าเมื่อนำไปขายต่อจะไม่ได้ราคา ซึ่งแท้จริงแล้วประโยชน์ที่ได้จากการเขียนลงไปในหนังสือนั้น มีมากกว่าที่ได้รับจากการขายไม่รู้กี่เท่า ”<br />เอลลิส จึงได้คิดระบบที่เรียกว่า Discovery and Intention Joumal Entry System ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำมาใช้ในระหว่างการอ่านหนังสือของผู้เรียนได้ Discovery คือ ข้อค้นพบ ทัศนคติ ความคิดเห็น และความรู้สึกที่มีต่อข้อความที่ได้อ่านจากหนังสือ Intention คือ สิ่งที่ต้องตั้งใจจะทำต่อไป หลังจากที่มีข้อค้นพบ หรือมีข้อคิดจากการอ่านหนังสือ เช่น กลับไปถามอาจารย์/เพื่อน ต้องไปค้นพบข้อมูลต่อ เป็นต้น โดยผู้เรียนสามารถขีด เขียน ลงไปในหนังสือได้ วิธีการอ่านแบบนี้ด้วยแบบนี้ช่วยทำให้ผู้เรียนฉลาดขึ้น เพราะผู้เรียนจะกลายเป็น “ ผู้เรียนรู้ ”<br />การสอนผู้เรียนให้อ่านหนังสือและให้พวกเขารับเอาสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ทั้งหมดไม่ต่างอะไรกับการฝึกให้นกแก้วนกขุนทองพูดตามคำบอก แต่หากผู้เรียนได้อ่านหนังสือแบบเรียนรู้ จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไร ได้ฝึกโต้ตอบกับผู้เขียนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่อาจไม่สอดคล้องกับผู้เขียน ไม่เพียงเท่านั้น การอ่านเรียนรู้ยังไม่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิดใหม่ คำศัพท์สำนวนใหม่ๆ หรืออะไรก็ตามที่ได้รับจากการอ่าน ซึ่งการอ่านแบบเรียนรู้นี้จะเกิดต่อเมื่อผู้เรียนได้อ่านแล้ว “ คิด ” หรือ “ ขีดเขียน ” ลงไปในหนังสือ<br />ในภาคปฏิบัติ เอลลิสมีคำแนะนำที่ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้กับผู้เรียนดังนี้<br />สอนผู้เรียนให้ขีดเส้นใต้ ทำเครื่องหมาย สร้างสัญญาลักษณ์ เหนือข้อความที่คิดว่าสำคัญ<br />เมื่อผู้เรียนอ่านหนังสือ ครูผู้สอนสามารถแนะนำผู้เรียนให้วงกลมล้อมรอบข้อความสำคัญนั้น ถ้าสำคัญมากและต้องกลับมาทบทวนอาจเพิ่มจำนวนดอกจันทร์เป็น*** ตามความสำคัญของเนื้อหา ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจความคิดของผู้เขียนได้คมชัดมากยิ่งขึ้น<br />สอนให้ผู้เรียนเขียนสรุปสิ่งที่ได้รับจากการอ่าน<br />เมื่อผู้เรียนได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ หรือต้องการย้ำความเข้าใจจากการอ่านหนังสือครูผู้สอนอาจสอนให้ผู้เรียนเขียนสรุปความสั้นๆ หรือทำเป็นรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือทำอะไรก็ได้ตามจินตนาการของผู้เรียนไว้มุมใดมุมหนึ่งของหนังสือ การทำเช่นนี้เป็นเหมือนการที่ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้เขียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้จดจำและสามารถทบทวนในสิ่งที่อ่านได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องกลับไปอ่านหนังสือทั้งเล่ม<br />สอนให้ผู้เรียนเขียนแสดงความคิดเห็นจากสิ่งที่ได้อ่าน<br />ครูผู้สอนควรสอนให้ผู้เรียนรู้จักการโต้ตอบกับผู้เขียนระหว่างการอ่านหนังสือ ไม่ควรเป็นผู้รับรู้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวโดยแนะนำให้ผู้เรียนเขียนสื่อสาร หรือใช้ภาษาสัญลักษณ์ลงไปในหนังสือด้วย หากผู้เรียนได้นำเสนอมา เช่น ขีดเส้นข้อความที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือต้องการเสนอความคิดจากสิ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอมา เช่น ขีดเส้นข้อความที่เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย แล้วลากเส้นโยงออกมา เขียนไว้ว่า “ความคิดนี้สุดยอดจริงๆ” “ตรงนี้ไม่เห็นด้วยเขียนแง่ลบเกินไป” เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการสร้างผู้เรียนให้เป็นคนที่มีทักษะการคิด วิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์<br />สอนให้ผู้เรียนเขียน หรือแสดงสัญลักษณ์ เพื่อมีคำตอบจากการอ่านหนังสือ<br />ครูผู้สอนควรสอนให้ผู้เรียนรู้จักตั้งคำถามในการอ่านไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ผู้เขียน เขียนมาทั้งหมด และเมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจและมีข้อสงสัยควรแนะนำให้ผู้เรียนใส่เครื่องหมายคำถาม (?) หรือเขียนประเด็นที่สงสัย หรือยังไม่เข้าใจ ต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม หรือสอบถามผู้รู้ และเขียนกำกับไว้ด้วยว่าเราไม่เข้าใจอะไร หรืออาจเขียนกำกับไว้ด้วยว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เช่น “ตรงนี้ต้องถามอาจารย์” “ไปค้นพบในห้องสมุด” เป็นต้น<br />อันที่จริง ผมทำอย่างที่เอลลิสได้กล่าวไว้ข้างต้นมาตั้งแต่เด็กๆ และพบว่าทำให้การอ่านหนังสือได้ประโยชน์มาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนเอาหนังสือที่ผมอ่านและได้เขียนสิ่งต่างๆ ไปอ่านต่อ หลายคนบอกผมว่า เขาได้รับประโยชน์จากการขีดเขียนของผมในหนังสือเล่มนั้นๆ ด้วย จึงสรุปได้ว่า วิธีการอ่านแบบนี้ช่วยทำให้ผู้เรียนได้ประโยชน์มากขึ้น และเรียนรู้ได้ดีมากขึ้นอย่างแท้จริง<br />อย่างไรก็ตาม วิธีเหมาะสำหรับหนังสือกับผู้เรียนที่เป็นเจ้าของเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน หนังสืออ่านเพิ่มเติม หรือแม้กระทั้งหนังสือที่ขึ้นมาอ่านเล่น เพื่อให้การอ่านหนังสือเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด แต่หนังสือที่เป็นของห้องสมุด ซึ่งต้องใช้ส่วนรวม ครูผู้สอนควรย้ำให้ผู้เรียนใช้หนังสืออย่างมีมารยาทและเห็นแก่ผู้อื่น โดยไม่จดข้อความหรือขีดเขียนสิ่งใดลงไปไม่พบหนังสือหรือวางคว่ำหน้าลง เพราะหนังสืออาจจะหักหรือเสียหายได้ และควรดูแลให้หนังสืออยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์ในการใช้ร่วมกัน<br />ผมมีความเชื่อว่า เปิดเทอมใหม่นี้ผู้เรียนทุกคนจะสามารถพัฒนาตนเองให้เก่งและฉลาดขึ้นได้ หากครูผู้สอนใส่ใจที่จะฝึกฝนและพัฒนาผู้เรียนในวิธีการที่เหมาะสม ซึ่ง “การอ่านหนังสือ” เป็นวิธีการหนึ่ง เพราะช่วยเพิ่มพูนความฉลาดและพัฒนาความเก่งและความฉลาดของผู้เรียนได้นั้น เกิดจากการที่เมื่ออ่านหนังสือผู้เรียนได้อ่านและคิดใคร่ครวญ ขีดเขียน ใส่สัญลักษณ์ ใส่เครื่องหมาย โต้ตอบกับผู้เขียน แม้จะดูเลอะเทอะ ไม่น่าดูในสายตาคนอื่น แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ผู้เรียนได้รับนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยการเรียนรู้ใหม่ๆ ซึ่งคุ้มค่ากับการใช้หนังสือหนึ่งเล่ม<br /><br /><font color="#000000">แหล่งที่มา </font><a href="http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story267teachskin.html"><font color="#000000">http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story267teachskin.html</font></a><br /><br /><font color="#000000">จัดทำโดย นางสาวฝาบีล๊ะ ดอเลาะ</font></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-90385007733614141742010-02-20T19:33:00.001-08:002010-02-22T07:56:14.309-08:00เทคนิคการอ่านแบบ Scanning<div align="justify">เมื่อพูดถึงการพัฒนาการอ่านโดยฝึกเทคนิคการอ่านเร็ว หรืออ่านแบบควบคุมเวลาแล้ว ครูก็เลยอยากจะแนะนำเทคนิคการอ่านเพิ่มอีกสักเทคนิคหนึ่งเทคนิคที่เราจะคุยกันในตอนนี้เรียกว่า Scanning ค่ะ Scanning เป็นทักษะการอ่านเร็วที่มีลักษณะคล้ายกับ Skimming ที่ครูแนะนำให้รู้จักกันไปแล้ว คือเป็นการกวาดตาคร่าวๆ อย่างเร็วๆ ไปบนสิ่งที่เราจะอ่านเหมือนกัน ต่างกันก็ตรง Scanning เป็นการกวาดตาอย่างรวดเร็วเพื่อหาเป้าหมายหรือข้อมูลเฉพาะอย่าง เรียกว่าเราต้องมีจุดประสงค์อยู่ในใจอย่างแน่วแน่ว่าเราต้องการรู้หรืออ่านเพื่อค้นหาอะไร โดยปกติเราใช้เทคนิคการอ่านแบบ Scanning กับชีวิตประจำวันอยู่บ่อยๆ เช่น การดูประกาศผลสอบ ครูว่าคงไม่มีใครอ่านตั้งแต่ชื่อแรกที่ประกาศ แล้วก็อ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอชื่อของเราหรอกนะ มีไหมที่ใครจะเริ่มต้นอ่านตั้งแต่หมายเลขหนึ่ง นางสาวบุญทิ้ง บุญชิงชัง หมายเลขสอง นายส้มหล่น สุดหม่นหมองไม่มี แต่เราจะใช้เทคนิคการ Scanning คือกวาดตาคร่าวๆ โดยมีเป้าหมายคือชื่อของเราเองอยู่ในใจ แล้วเราก็ Scan หาแต่ชื่อของตัวเองโดยไม่สนใจชื่ออื่นๆที่เราไม่ได้ตั้งใจจะหา หรือการอ่านเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ที่ต้องการจากพจนานุกรม เราใช้เทคนิคการ Scan เหมือนกัน คงไม่มีใครเปิดอ่านตั้งแต่คำแรกในหน้าแรกหรอกจริงมั้ย เรามีเป้าหมายว่าเราต้องการหาคำศัพท์คำไหนเราก็ Scan หาคำนั้นเลย นอกจากนี้เรายังใช้เทคนิค Scanning กับการอ่านต่างในชีวิตประจำวันของเราอีก เช่นการค้นหาหัวข้อที่เราต้องการอ่านในหน้าสารบัญ การอ่านเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการจากตาราง แผนภูมิ หรือกราฟ ถ้าใครเข้าร้านหนังสือโดยไม่มีเป้าหมายอะไรเลย ก็แค่อยากเข้ามาดูๆ ว่าจะมีหนังสืออะไรน่าสนใจเผื่อจะซื้อกลับไปอ่านสักเล่ม ลองนึกดูสิคะว่าเราจะมีพฤติกรรมอย่างไร คนกลุ่มนี้จะกวาดตาดูคร่าวๆดูชั้นโน้นทีดูชั้นนี้ที เรียกว่าดูไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอหนังสือที่โดนใจ พฤติกรรมแบบนี้นี่แหละคือเทคนิค Skimming ค่ะเอ! ใช้ทักษะการ Skim แล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่ามีหนังสืออะไรกันบ้าง รู้สิคะ แต่เป็นความรู้แบบกว้างๆอาจจะรู้ว่ามีหนังสือประเภทไหนบ้างหรือรู้ว่ามีหนังสืออะไรบ้าง แต่บางครั้งที่เราเข้าร้านหนังสือ เรามักจะมีเป้าหมายหรือจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่าเราอยากอ่านหนังสืออะไร ( ความจริงครูน่าจะบอกว่าอยากซื้อหนังสืออะไร แต่เดี๋ยวนี้คนเข้าร้านหนังสือเพราะไปอ่านหนังสือเยอะกว่าไปซื้อซะอีก )เราก็ใช้เทคนิค Scanning คือกวาดตาอย่างมีเป้าหมายว่าวันนี้จะมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เราก็จะกวาดตาหาแต่หมวดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเป้าหมายของเราหมวดอื่นๆ เราก็มองผ่านไป นั่นแน่เจอแล้วหมวดภาษาอังกฤษที่เราอยากอ่าน แต่ที่หมวดนี้ก็มีหนังสืออีกเยอะมากๆ จะทำยังไงดีล่ะ เราก็ต้องใช้เทคนิคการ Scan ต่ออีกแล้ว เราต้องรู้ว่าเป้าหมายหรือหนังสือที่เราจะมาอ่านในวันนี้คืออะไร สมมุติอยากมาอ่านหนังสือ “ ไม่อยากท่องจำ...จะทำไงดี?” ของอาจารย์พนิตนาฏเราก็จะ Scanหาแต่เล่มที่เราต้องการเท่านั้น ถ้าสายตาจะบังเอิญไปเจอหนังสือภาษาอังกฤษเล่มอื่นๆ ก็จะไม่สนใจ แต่จะกวาดตาอย่างเร็วๆ จนเจอเล่มที่เราต้องการค่ะ ฟังๆดูแล้วหลายคนคงอยากจะบอกครูว่าอาจารย์ขา ทำไมอาจารย์พูดเรื่องนี้ล่ะคะ ก็เรื่องนี้มันแสนจะธรรมดา พวกเราทำอย่างนี้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ก็นั่นน่ะซิ ก็ทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แล้วเวลาอ่านภาษาอังกฤษทำไมไม่ทำแบบนี้บ้าง ทำไมไม่ใช้เทคนิค Skim Scan กันบ้าง มาตั้งหน้าตั้งตาอ่านกันทุกตัวอักษร ทุกคำ แล้วก็มาบ่นว่าอ่านหนังสือช้าบ้างล่ะ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องบ้างล่ะเรามาลองใช้เทคนิค Skim Scan อย่างที่ครูแนะนำกันบ้างสิ ถ้าครูจะเทียบตัวอย่างที่ครูพูดในตอนต้นกับการอ่านภาษาอังกฤษของเราก็คงคล้ายๆกับเวลาที่อาจารย์หรือเจ้านายมอบหมายให้เราไปอ่านหรือค้นคว้าข้อมูลอะไรสักอย่างในหนังสือสักเล่ม โอ้โห! เปิดมาตัวหนังสือภาษาอังกฤษเต็มพรืดไปหมดประมาณว่าแค่เห็นหน้าแรกก็เวียนหัวแล้ว เราจะทำยังไงดี ครูแนะนำให้ใช้เทคนิค Skimming ดูค่ะ ( ใครสงสัยหรือไม่ได้อ่าน เทคนิค Skimming ครุขอแนะนำให้ไปหาเมื่อสองตอนที่แล้วอ่านดูนะคะ เพราะครูอธิบายไว้ละเอียดแล้วค่ะ ) เราจะได้เห็นภาพรวมๆ กว้างๆ ของเรื่องที่จะอ่านก่อน ซึ่งเรื่องนี้ครูจะเขียนอธิบายให้ละเอียดในตอนต่อๆไปนะคะ แต่ถ้าใครมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าจะค้นข้อมูลอะไรหนังสือเล่มนี้เราก้มาใช้เทคนิค Scanning ดีกว่า เราใช้ Scanner เพื่อ Copy โดยเลือกเอาเฉพาะรูปหรือข้อความที่เรากำหนดเป้นเป้าหมายให้เครื่องอ่านเท่านั้น ต่างกับเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งเราไม่สามารถเลือกสำเนาเฉพาะรูปหรือข้อความใดๆ ได้ แต่เราจะได้สำเนาหมดทั้งหน้าเลยเรียกว่าเจ้าเครื่องถ่ายเอกสารเนี่ย ให้ดูอะไรก็ Copy มาหมดทั้งหน้า แต่ Scanner สามารถเลือกสำเนาได้เฉพาะข้อมูลที่เราต้องการ รู้อย่างนั้นแล้วจะเป็นนักอ่านแบบเครื่องถ่ายเอกสาร หรือจะเป็น Scanner ก็ไปเลือกกันเอาเอง<br /><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story274scanning-reader.html"><span style="color:#000000;">http://dnfe5.nfe.go.th/localdata/webimags/story274scanning-reader.html</span></a><br /><br /><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายรูดี มะมิง</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-13343274491272734202010-02-20T19:22:00.000-08:002010-02-22T08:00:24.290-08:00การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441092255937954466" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 136px; CURSOR: hand; HEIGHT: 160px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr8C4mHRHEt_pSSt6qPA0aTEtQ0c_1rLupVDVn7Q5ZqZvk0noKXBtWiG2pZy92DwAShic6F0d4jNFzyBrZGzwkfaLGWDjEtaO_XA0QfKKftcTI6yR_AU7XcMTG_HXRpHkyT7sRhHxa32Q/s320/DSC003971.jpg" border="0" />“การสอนโดยเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ จะช่วยพัฒนาผู้เรียนในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ทั้งด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ (ลักษณะนิสัย) และทั้งด้าน IQ (Intelligence Quotient) และด้าน EQ (Emotional Quotient) ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข” ความสำคัญด้วยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งขาติ พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะในหมวดที่ 4 แนวทางการจัดการศึกษา มาตรา 22 ได้กล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” ดังนั้นผู้สอนทุกคนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจากการเป็นผู้บอกความรู้ให้จบไปในแต่ละครั้งที่เข้าสอนมาเป็นผู้เอื้อ อำนวยความสะดวก(Facilitator)ในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนกล่าวคือเป็นผู้กระตุ้นส่งเสริมสนับสนุนจัดสิ่งเร้าและจัดกิจกกรมให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของแต่ละบุคคล การจัดกิจกรรมจึงต้องเป็นกิจกรรมที่ ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สร้างสรรค์ศึกษาและค้นคว้าได้ลงมือปฏิบัติจนเกิดการเรียนรู้และค้นพบความรู้ด้วยตนเองเป็นสาระ ความรู้ ด้วยตนเอง รักการอ่าน รักการเรียนรู้อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต(Long-life Education) และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man ) ผู้สอนจึงต้องสอนวิธีการแสวงหาความรู้ (Learn how to learn ) มากกว่าสอนตัวความรู้ สอนการคิดมากกว่าสอนให้ท่องจำสอนโดยเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ มากกว่าเน้นที่เนื้อหาวิชาดังที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี (2541:72) ได้กล่าวไว้ว่า “…ต้องปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ใหม่จากการเอาวิชาเป็นตัวตั้งไปสู่การเอาคนและสถานการณ์จริงเป็นตัวตั้ง เรียนจาก ประสบการณ์และกิจกรรม จากการฝึกหัดจากการตั้งคำถามและจากการแสวงหาคำตอบซึ่งจะทำให้สนุก ฝึกปัญญาให้ ้กล้าแข็ง ทำงานเป็น ฝึกคุณลักษณะอื่น ๆ เช่น ความอดทน ความรับผิดชอบ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การรวมกลุ่ม การจัดการ การรู้จักตน…”<br />จึงเห็นได้ว่า “การสอนโดยเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ จะช่วยพัฒนาผู้เรียนในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ทั้งด้านความรู้ทักษะ และเจตคติ (ลักษณะนิสัย) และทั้งด้าน IQ (Intelligence Quotient) และด้าน EQ (Emotional Quotient) ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็น คนเก่ง คนดีและความสุข”ตามเป้าหมายการจัดการศึกษาในปัจจุบัน<br /></div><div align="justify"><br /><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา <a href="http://www.sut.ac.th/tedu/news/Teach.html"><span style="color:#000000;">http://www.sut.ac.th/tedu/news/Teach.html</span></a></span><br /><br /></div><div align="justify"><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นางสาวนารีซะห์ ดอเลาะ</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-81099002760270783772010-02-19T21:09:00.000-08:002010-02-22T08:00:24.296-08:00นักเรียนประสานเสียงเชียร์<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441096903505362034" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 137px; CURSOR: hand; HEIGHT: 161px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp66ACGcbnbxK3MKKj1I32ercpaK7Flg7chWb4ehLz4V0hyphenhyphenBrdSVWXS7ctPYt4ZF62nfTOiodiv-jK6dw_7T0izueZYBZfmu7xTdUu6szRnDv33FOFOvGq18YEGhrACnFSsYbAWF8KVBM/s320/DSC038101.jpg" border="0" />นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานปฐมนิเทศนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนในประเทศ ๔๘๖ คน ที่ได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนทั่วประเทศให้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดัง ๑๑ แห่งในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ร.ร.บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ร.ร. เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ร.ร. สตรีวิทยา ร.ร.หอวัง ร.ร.ศึกษานารี ร.ร.เทพศิรินทร์ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ร.ร.วัดสุทธิวราราม ร.ร.โยธินบูรณะ และ ร.ร.ภ.ปร.ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในภาคเรียนที่ ๒/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย "มติชน" ได้สัมภาษณ์ความเห็นของนักเรียน-ผู้ปกครองที่เข้าโครงการนำเสนอ<br />ด.ญ.จารุวรรณ เครือหงษ์ อายุ ๑๔ ปี ม.๒ โรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา อ.ด่านซ้าย จ.เลย "ตื่นเต้นนิดหน่อยพอรู้ว่าได้รับเลือกให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาฯ มีชื่อมาก แต่ก็ไม่ได้ประหม่า และมั่นใจว่าจะเรียนได้ไม่แพ้โรงเรียนเดิมทีได้เกรดเฉลี่ย ๓.๘๙ หากขยันอ่านหนังสือ แต่ถ้าได้น้อยกว่าก็ไม่เป็นไรเพราะโรงเรียนในกรุงเทพฯ มีมาตรฐาน และความพร้อมของอุปกรณ์การเรียนการสอนมากกว่าโรงเรียนต่างจังหวัด เชื่อว่า ๔ เดือนนี้จะได้ประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการเรียน<br />ด.ญ.แหวนพลอย จำเนียรกุล อายุ ๑๔ ปี ม.๒ โรงเรียนเมืองยางพิทยาคม อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ "ได้รับเลือกให้เรียนที่ศึกษานารี ดีใจมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ขึ้นมากรุงเทพฯ ยังตื่นเต้นอยู่เลย พอไปบอกพ่อแม่ที่บ้านท่านก็สนับสนุนอยากให้มาหาประสบการณ์ดู คิดว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์มากเพราะทำให้ได้ความรู้ เทคนิค การเรียนการสอนจากโรงเรียนชื่อดัง มีมาตรฐานสูง ไม่ห่วงว่าเรียนแล้วจะได้เกรดน้อยกว่าเดิม เพราะไม่ได้มองเรื่องเกรด แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าเรียนที่นี่อาจจะได้เกรดน้อยลง เพราะมาตรฐานโรงเรียนต่างจากกรุงเทพฯ ส่วนการเตรียมความพร้อมก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากเพราะกระชั้นชิด"<br />ด.ญ.สุพัฒนาตรา บุญวงศ์ อายุ ๑๓ ปี ม.๒ โรงเรียนวรคุณอุปถัมภ์ อ.เมืองจันทร์ จ.ศรีสะเกษ "ที่บ้านมีอาชีพทำนา โครงการนี้ดีมากเพราะให้โอกาสเด็กต่างจังหวัดได้เข้ามาลองใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ซึ่งจะได้ประโยชน์ตรงในเรื่องการเรียนหนังสือจะได้รู้เทคนิค วิธีการเรียนของเด็กโรงเรียนดังเป็นอย่างไร โดยได้รับเลือกให้เรียนที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย พอเข้าไปเรียนแล้วจะต้องปรับตัวค่อนข้างมากเพราะกลัวเรียนไม่ทันเพื่อน ส่วนค่านิยมของเด็กกรุงเทพฯ ที่นิยมกวดวิชา โดยส่วนตัวมองว่าไม่ได้เสียหายอะไร หากมีโอกาสได้ไปเรียนกวดวิชาก็อยากลองดูว่าเป็นอย่างไร" </div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://www.moe.go.th/main2/article/article%20newspaper/911474.htm"><span style="color:#000000;">http://www.moe.go.th/main2/article/article newspaper/911474.htm</span></a><br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายอิสลาม แวกิจิ</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-79907738668805452392010-02-19T21:08:00.001-08:002010-02-21T01:11:01.762-08:00ชิงช้าฝึกวอลเล่ย์บอล<div align="justify">นวัตกรรมชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลนี้ประกอบด้วยข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวกับการใช้ชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลในการฝึกซ้อมการเล่นลูกสองมือบนและการเล่นลูกสองมือล่างซึ่งได้แบ่งเป็น 4 ตอน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลแผนการจัดการเรียนรู้การเล่นลูกสองมือล่างและการเล่นลูกสองมือบนแบบฝึกทักษะวอลเลย์บอลด้วยชิงช้าฝึกวอลเลย์บอล และแบบทดสอบทักษะวอลเลย์บอล<br />ชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลได้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกซ้อมการเล่นลูกสองมือล่าง(อันเดอร์)และการเล่นลูกสองมือบน(เซต)เพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการฝึกซ้อมอันเดอร์และการเซตจากที่ได้เคยดำเนินการเรียนการสอนกีฬาวอลเลย์บอลซึ่งได้พบว่าผู้ฝึกหัดเล่นวอลเลย์บอลมักเบื่อหน่ายกับการฝึกซ้อมอันเดอร์และเซตที่เกิดจากการกระดอนของลูกวอลเลย์บอลไปไกล ๆ ในขณะฝึกซ้อม<br />ชิงช้าฝึกวอลเลย์บอล ได้ประดิษฐ์ขึ้นจากวัสดุหาง่ายในท้องถิ่นโครงสร้างประกอบด้วยลำไม้ไผ่ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโครงสำหรับผูกปลายด้านหนึ่งของเชือกไนล่อน ส่วนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งยึดติดกับถุงตาข่ายที่ใช้บรรจุลูกวอลเลย์บอลสามารถปรับระดับความสูงของลูกวอลเลย์บอลได้ตามความเหมาะสมของการฝึกและระดับความสูงของผู้ฝึกซ้อม นักเรียนสามารถดำเนินการฝึกได้ด้วยตัวนักเรียนเอง โดยทำการฝึกได้ครั้งละ 1 คน ข้อดีของชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลก็คือขณะทำการฝึกซ้อมนั้นลูกวอลเลย์บอลจะไม่หลุดไปไกลเมื่ออันเดอร์หรือเซต เนื่องจากลูกวอลเลย์บอลได้ยึดติดกับโครงไม้ ช่วยให้ไม่เสียเวลาในการฝึกซ้อม<br />ได้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้การเล่นลูกสองมือล่างและการเล่นลูกสองมือบนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนำไปประยุกต์ใช้แบบฝึกทักษะวอลเลย์บอลด้วยชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลเพื่อใช้เป็นแนวทางในจัดการฝึกซ้อมการเล่นลูกสองมือล่างและการเล่นลูกสองมือบนด้วยชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลและแบบทดสอบทักษะวอลเลย์บอลเพื่อใช้วัดผลสัมฤทธิ์ของการฝึกซ้อมการอันเดอร์และเซตด้วยจากการฝึกซ้อมด้วยชิงช้าฝึกวอลเลย์บอลและการฝึกซ้อมตามปกติ</div><div align="left"><span style="color:#000000;"></span></div><div align="left"><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://123.242.164.132/e-articles/Rearticle.php?reNews=109"><span style="color:#000000;">http://123.242.164.132/e-articles/Rearticle.php?reNews=109</span></a></div><div align="left"></div><div align="left"><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายตอลาวี เฮง</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-17494140971678455652010-02-19T21:04:00.000-08:002010-02-22T07:56:14.319-08:00ทึ่ง!... “น้องแจน ยอดนักอ่าน” เด็กอนุบาล 5 ขวบ อ่านภาษาไทยฉลุย “เปิดปุ๊บ อ่านปั๊บ”<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441094145351057170" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 141px; CURSOR: hand; HEIGHT: 168px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTvvTQ5ohYWFk9A4khltlol-TANHo6cLdO56LpqpjWEHeR9UoydwQQQQo9v-VU909VTZ0aLyV2D7K29EZOMa5lBqV5CES1xMf6XDIasgt6_3NjZ5A5SVu7XPp6Ou_wowvv1PSq2dOp3mU/s320/DSC038151.jpg" border="0" /><span style="font-family:courier new;">การที่เด็กวัยอนุบาลคนๆหนึ่งจะอ่านหนังสือได้ เขียนได้ จดจำความหมายในแต่ละประโยคได้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกนักสำหรับเด็กอัจฉริยภาพ เด็กมีความสามารถพิเศษ เด็กหัวแหลมหรือเด็ก ที่มีการฝึกฝนมาดี ทั้งจากในโรงเรียนหรือจะเป็นเพราะความเอาใจใส่จากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง แต่สำหรับเด็กหญิงชลธิชา จันแก้ว หรือ “น้องแจน” อายุ 5 ขวบ นักเรียนอนุบาล 1 โรงเรียนบ้านจอเจริญ หมู่ 12 ต.ดอนศิลา อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ซึ่งดูสภาพภายนอกก็เหมือนกับเด็กที่ยังอยู่ในวัยกำลังซน พูดจายังไม่ค่อยชัด สื่อความยังไม่ค่อยได้ แต่กลับมีพฤติกรรมในห้องเรียนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเพื่อนๆนักเรียนคนอื่น ในวัยเดียวกัน ห้องเดียวกัน นั่นคือ การชอบหยิบค้นหนังสือมาอ่านโดยเฉพาะหนังสือ เอกสารแผ่นพับ กระดาษข่าว โบชัวภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นคำยาก ศัพท์เฉพาะ ประโยคยาวๆ “น้องแจน”จะสามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่ต้องใช้นิ้วชี้นำหรือสะกดทีละคำ แจกลูก ผันเสียงวรรณยุกต์ ที่สำคัญก็คือ บุคลิก “คว้าปุ๊บ อ่านปั๊บ” โดยไม่ต้องมามัวเพ่งพินิจพิจารณารูปอักษร บรรทัดประโยค<br />ครูเกษรี ภีรบรรณ์ ครูโรงเรียนบ้านจอเจริญ ครูประชั้นอนุบาล 1 บอกว่า “น้องแจนเป็นลูกสาวคนเล็กในจำนวนลูกสาว 2 คนของนายวันชัยและนางสุพิดา จันแก้ว ชาวบ้านอาชีพทำไร่ทำนา ที่มีการเอาใจใส่กับการเรียนของลูกเหมือนๆกับพ่อแม่ทั่วๆไป แต่ลูกสาวกลับชอบอ่านหนังสือภาษาไทยเป็นกิจวัตรจำเจ ซึ่งแปลกประหลาดและน่าทึ่งมากๆกับการช่างอ่านของน้องแจน อ่านโดยไม่ต้องสะกด ดูครั้งเดียวก็จะจำได้ ในห้องเรียนคุณครูให้นอนตอนบ่ายเหมือนเพื่อนๆ แต่น้องแจนก็จะไม่ยอมนอน จะไปค้นหาหนังสือบ้าง โบชัวห้างบิ๊กซีบ้างมานั่งอ่าน ตนเองและครูพี่เลี้ยงก็แปลกใจในพฤติกรรมความเป็นยอดนักอ่านวัย 5 ขวบของน้องแจนเป็นอย่างมาก” เมื่อพูดถึงตอนนี้ ครูเกษรีก็ได้ทดลองหยิบเอกสารโบชัวโฆษณาสินค้าของห้างบิ๊กซีสีแดงหลายสิบแผ่นที่คุ้นตาคนทั่วไปมาให้น้องแจนได้เลือกหยิบอ่านตามอัธยาศัย โดยไม่บังคับหรือชี้นำให้ “น้องแจน” อ่าน ซึ่งน้องแจนก็หยิบขึ้นมาอ่านไปเรื่อยๆ สบายๆ น้ำเสียงสูงต่ำไปตามลีลา การพูดของเด็กๆวัย 5 ขวบ ซึ่งก็ปรากฏว่า “น้องแจน”ก็สามารถอ่านได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว แม้กระทั่งคำที่เป็นภาษาอังกฤษ “น้องแจน”ก็สามารถออกเสียงกระดกลิ้นท้ายพยางค์และโชว์ลีลาการอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างน่าทึ่ง น่าฟัง<br />ด้านนายประทาน พรมรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจอเจริญกล่าวว่า “น้องแจนเป็นเด็กที่น่ารัก การอ่านหนังสือเก่ง คล่องแคล่วก็ยิ่งเสริมให้เป็นจุดเด่นที่นักเรียนรุ่นพี่ รุ่นน้องและเพื่อนๆนักเรียนในโรงเรียนต่างเอ็นดู รักใคร่ ซึ่งขณะนี้ตนก็ได้เตรียมที่จะประสานกับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 1 ได้ พิจารณาสนับสนุนน้องแจนเข้าสู่โครงการเด็กหัวแหลมหรือเด็กที่มีความสามารถพิเศษเพื่อ รับความช่วยเหลือทางด้านการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับอัจฉริยภาพของน้องแจนต่อไป<br />นี่คือ ภาพลักษณ์หนึ่งของกลยุทธ์การให้โอกาสทางการศึกษาและคุณภาพการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 1 ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ</span><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://123.242.164.132/e-articles/"><span style="color:#000000;">http://123.242.164.132/e-articles/</span></a></div><br /><div align="justify"></div><br /><div align="justify"><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายมูฮำหมัดยากี ดอเลาะ</span> </div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-196069045837549479.post-23818062092057380032010-02-19T20:59:00.000-08:002010-02-22T08:00:24.300-08:00จากวันสิ่งแวดล้อมโลกถึงสิ่งแวดล้อมศึกษา<div align="justify"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5441094657389674546" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 145px; CURSOR: hand; HEIGHT: 167px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3bQ_Kwu47qY7C0jXPzg5LXrhrLw78ytZCcLrmPwGBADZT2hC675XpcNsu4sPfkm2ah9YgAkjLMRG0WxsolO_kMUQUkAEnNISRdrMUyEuTgL5Ln_0veVbfuNK25-bsG6bNPpnhfBSncCM/s320/P115009.jpg" border="0" /><span style="font-family:courier new;">ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและคล้ายกันทั่วทั้งโลก ประเทศและองค์กรต่าง ๆ จึงคิดค้นหาแนวทางการแก้ไขกันเรื่อยมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2491( 60ปีที่แล้ว) ได้มีการกล่าวถึงคำว่า “สิ่งแวดล้อมศึกษา” เป็นครั้งแรกในการประชุมสหพันธ์นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ ณ กรุงปารีส ต่อมาใน พ.ศ. 2513 ได้มีการประชุมที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ในหัวข้อ “สิ่งแวดล้อมศึกษาในหลักสูตรโรงเรียน” จึงเป็นการเริ่มต้นการพัฒนาสิ่งแวดล้อมศึกษาอย่างกว้างขวาง<br />ถ้ามองภาพกว้างตามที่องค์การ UNESCO ระบุว่า สิ่งแวดล้อมศึกษา คือ แนวทางในการส่งเสริมเป้าหมายการป้องกันสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเชื่อมโยงความสัมพันธ์เข้าสู่การศึกษา สรุปได้ว่า คือกระบวนการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการให้เกิดกับนักเรียนในรูปของ SKAPA Model คือ นักเรียนมีทักษะ ( Skill ) ในการระบุ คาดการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม นักเรียนมีความรู้ ( Knowledge) โดยได้รับประสบการณ์และแสวงหาความเข้าใจเบื้องต้นในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนักเรียนมีเจตคติ ( Attitude ) เกิดค่านิยมและความรู้สึกห่วงใยสิ่งแวดล้อม นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชนมีส่วนร่วม ( Participation ) ในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และนักเรียนเกิดความตระหนัก ( Awareness ) ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว<br />อย่างไรก็ตามการจะเกิดผลตามจุดประสงค์ดังกล่าวนั้นโรงเรียนจะต้องจัดทำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในท้องถิ่นและเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้ได้แล้วจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายหลักของสิ่งแวดล้อมศึกษา 3 ประการ<br />คือ การศึกษาในสิ่งแวดล้อม (Education in the environment ) การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม(Education about the environment ) และการศึกษาเพื่อสิ่งแวดล้อม (Education for the environment )<br />วันที่5มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ถ้าโรงเรียนเริ่มจัดการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษาในวันนี้ (ภาคเรียนที่ 1 ) โดยจัดอย่างต่อเนื่องเพื่อเชื่อมโยงไปหาวันสิ่งแวดล้อมไทย วันที่ 4 ธันวาคม (ภาคเรียนที่ 2) นักเรียนก็จะมีพัฒนาการตาม SKAPA Model ซึ่งถือว่า “ประจักษ์พยานการสอน ” ที่สำคัญของครู</span><br /></div><div align="left"><span style="color:#000000;">แหล่งที่มา </span><a href="http://123.242.164.132/e-articles/Rearticle.php?reNews=89"><span style="color:#000000;">http://123.242.164.132/e-articles/Rearticle.php?reNews=89</span></a></div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;">จัดทำโดย นายมูหมัดรสดี แวดาโอะ</span></div>มูหมัดรสดีhttp://www.blogger.com/profile/15874345114790250556noreply@blogger.com0